ในบทความนี้ คุณ “คริส” จะมาเล่าถึงประสบการณ์ของเขาภายหลังจากการเข้ารับการผ่าตัดปลูกผมในคลินิกตลาดมืด จนไปถึงกระบวนการผ่าตัดปลูกผมเพื่อซ่อมแซมภาวะแทรกซ้อนและผลการผ่าตัดที่ผิดพลาดที่เกิดจากคลินิกตลาดมืด
“ผมชื่อคริส ตอนนี้ผมต้องการความช่วยเหลืออย่างมาก ผมรู้สึกว่าผมตกเป็นเหยื่อของคลินิกปลูกผมที่ไม่ได้ประกอบการอย่างถูกต้อง
เมื่อ 15 เดือนก่อน ผมตัดสินใจบินไปประเทศ xx เพื่อไปผ่าตัดปลูกผม และนั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากๆ ที่ผมยังเสียใจมาจนทุกวันนี้ ผมไม่ค่อยได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการผ่าตัดปลูกผมมากนัก และก็เชื่อเพื่อนที่เคยบินไปประเทศนี้เพื่อปลูกผม เพื่อนว่ายังไง ผมก็ว่ายังงั้น จริงๆ ผมไม่ได้หัวล้านมากครับ แค่แนวผมด้านหน้ามันร่นเข้าไป ผมก็เลยอยากจะปลูกผม
ณ ตอนนั้น ผมคิดว่า เคสของผมมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ ผมคิดเอาเองว่าหมอคนไหนทำก็ผลการรักษาพอๆ กัน ผมติดต่อไปที่คลินิก 2 แห่งในประเทศนั้น และได้เลือกคลินิกที่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
คลินิกแจ้งผมว่า คุณหมอที่จะทำการผ่าตัดให้ผมนั้น มีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว 15 ปี ผมก็ลองอ่านรีวิวและเห็นว่าคลินิกก็อยู่ในโรงพยาบาลทำให้คิดว่าน่าจะเชื่อถือได้ ผมเลยคิดว่าคุณหมอก็น่าจะต้องเป็นคุณหมอที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง บวกกับราคาที่ผมรู้สึกว่า ผมรับได้
โชคไม่ดีที่สุดท้ายแล้วผมถูกหลอกอย่างจังครับ ในประเทศของผมเนี่ย ปกติแล้วการที่จะผ่าตัดอะไรก็ตาม กฎหมายบังคับเลยว่าจะต้องเป็นแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดปลูกผมครั้งนี้ ทำให้ชีวิตผมที่ผ่านมา 1 ปี ยากลำบากมากๆ ตอนแรกผมคิดว่าผมที่ปลูกก็จะงอกตามปกติเหมือนคนอื่นๆ ที่ไปปลูกผมมา
ก่อนการผ่าตัด ผมของผมก็ไม่ได้ดูแย่นะครับ เรียกว่าดูดีในระดับหนึ่งเลย ผมแจ้งกับทางคลินิกว่า ไม่อยากทำเกิน 2,500 กราฟต์ ผมอยากจะแค่เติมบริเวณที่เป็นขมับทั้งสองข้างแค่นั้น
แต่พอหลังผ่าตัดเท่านั้นแหละครับ พอเขาเปิดตาผมขึ้นมา ผมตกใจมากที่คลินิกปลูกไปทั้งหัวของผมเลยครับ เขาไม่ได้ปลูกแค่ขมับ แต่ปลูกตรงกระหม่อมและกลางศีรษะด้วยซึ่งผมไม่ได้ขอเลย
คลินิกแจ้งผมว่าไม่ต้องกังวล แบบนี้ดีแล้ว และบอกว่าผมจะพอใจกับผลการผ่าตัด ผมก็ได้แต่หวังว่าผมที่ปลูกจะโตสวย ดูเป็นธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป แต่ความเอ๊ะก็เริ่มเกิดขึ้นพอผมถามจำนวนกราฟต์ที่ปลูกไป เดี๋ยวพนักงานคนนึงก็บอก 4,000 กราฟท์ อีกคนบอก 4,200 กราฟค์ อีกคนก็บอก 4,500 กราฟต์ ตอนนั้นผมเริ่มไม่สบายใจและรู้สึกว่ามันเริ่มแปลกๆ ละ ผมเริ่มเอะใจแล้วว่า ผมพลาดแล้ว
วันถัดมา ผมกลับไปที่คลินิกเพื่อที่จะไปสระผมและแกะผ้าพันแผลออก ซึ่งไม่มีคุณหมอมาดูเลยครับ แถมตรง Donor (ตำแหน่งบริจาค) ที่ด้านหลังศีรษะก็มีเลือดเต็มไปหมดเลย แผลดูน่ากลัวมาก ผมก็เริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
พอผมบินกลับบ้าน ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง ถึงแม้ว่าจะผ่านไป 6 เดือนแล้ว เส้นผมที่ Donor ด้านขวาแทบจะไม่งอกเลย ตอนนั้นผมกลายเป็นโรคซึมเศร้าเลยครับ น้ำหนักลดไป 12 กิโลกรัม ผมผอมถึงขนาดว่าเพื่อนบางคนสงสัยว่าผมเป็นมะเร็งรึเปล่า แถมบริเวณด้านหลังของศีรษะ ผมก็แหว่งเป็นจุดๆ ตรงที่ปลูกผมก็ขึ้นไม่ดี ผมสูญเสียความมั่นใจไปเลย
จากนั้นผมก็กลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้จริงๆ ผมยังคิดวนเวียนว่าผมไม่น่าตัดสินใจไปคลินิกนั้นเพื่อปลูกผมเลย ทุกครั้งๆ ที่ผมมองกระจกผมก็จะโทษตัวเองตลอด พอผมอ่านรีวิวในอินเตอร์เนตก็พบว่าในเคสปกติ แค่ 2-4 อาทิตย์หลังผ่าตัด แผลตรงด้านหลังศีรษะ (Donor) ก็มักจะหายดีแล้ว แต่ของผมสิ ผ่านไป 6 เดือนยังดูพรุนๆ เป็นรูๆ อยู่เลย
ผมลองติดต่อไปหาคุณหมอหลายท่านในประเทศของผมเพื่อที่จะเข้ารับการผ่าตัดแก้ไข แต่ก็ไม่มีคุณหมอท่านไหนที่สามารถจะช่วยผมได้เลย โชคดีว่า แฟนของผมเป็นกำลังใจอย่างดีของผม ผมโทรหาแฟนทุกวัน บางวันก็ร้องไห้กับแฟน จนบางครั้งผมอยากจะฆ่าตัวตายไปเลยก็มี ถ้าไม่ใช่เพราะแฟนของผมและครอบครัวของผมที่คอยเป็นกำลังใจ ผมไม่รู้เลยว่าผมจะกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเป็นบาดแผลทางใจมากๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ และผมยังคงต้องไปพบนักจิตบำบัดและกินยาแก้โรคซึมเศร้า
ผมเข้าใจนะว่าหลายคนอาจจะต้องอยู่กับโรคที่หนักกว่าผมมาก แต่เชื่อผมเถอะครับว่าถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากมาอยู่ในจุดที่ผมอยู่ คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าการผ่าตัดปลูกผมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตัดสินใจพลาดนิดเดียว แทบจะเปลี่ยนชีวิตไปเลย บางครั้งผมก็อยากจะโกนหัวไปเลยมันจะได้จบๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง
ตลอด 6 เดือนหลังการผ่าตัด หมอที่คลินิกนั้นก็เอาแต่บอกผมว่า สิ่งที่ผมเจออยู่เป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากที่ผมเริ่มหาข้อมูลเอง ผมก็รู้ว่าการผ่าตัดของผมมันผิดพลาดไปหมดเลย ผมโมโหมากและพยายามขอคำอธิบายจากคลินิก และบันทึกการผ่าตัด หลังจากนั้นคลินิกก็บล็อกผมไปเลยครับ
สมัยนี้ผมว่าผู้บริโภคแบบพวกเราโดนหลอกง่ายมากครับ ใน Instagram ก็สามารถสร้าง Fake Followers ได้ รูปภาพอาจจะถูกแต่งมาก็ได้ ด้วยความที่ผมบินไปประเทศ xx เพื่อรับการปลูกผม ดังนั้นการที่ผมจะไปเอาเรื่องคลินิกคงทำได้ยาก การฟ้องร้องข้ามประเทศมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ผมคิดว่าคนที่ทำการผ่าตัดให้ผมน่าจะไม่มีประสบการณ์ในการเจาะกราฟต์ที่ด้านหลังหนังศีรษะ ทำให้กราฟต์ผมเสียเป็นจำนวนมาก ทำให้ยิ่งต้องเจาะเยอะมากๆ จนแผลเป็นเต็มหัวผมไปหมดเลยครับ ทั้งที่ผมอยากปลูกแค่ 2500 กราฟต์เอง แต่แผลเป็นมันดูเกิน 2500 กราฟต์ไปมาก จนผมเส้นรอบๆ ที่ไม่ได้ถูกเจาะก็พลอยถูกทำลายไปด้วย
ก่อนการผ่าตัด ผมคิดว่า ทางคลินิกน่าจะทราบอยู่แล้วว่าแนวไรผมด้านหน้า ควรจะมีแต่กราฟ์ผมเส้นเดี่ยวเพื่อทำให้ไรผมดูเป็นธรรมชาติ ซึ่งทางคลินิกก็ยืนยันกับผมว่า ปกติก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว แต่พอผมที่ปลูกงอกขึ้นมา มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ตรงแนวไรผม บางจุดเป็นสองเส้นบ้าง สามเส้นบ้าง ดูแล้วไม่สวยเลยครับ แถมทิศทางผมก็ไม่เป็นธรรมชาติเลย
ตลอดเวลา 6 เดือนหลังผ่าตัด ผมต้องทนอยู่กับหัวพรุนๆ และผลการผ่าตัดที่ออกมาผิดพลาด ผมพยายามขอติดต่อกับคุณหมอเข้ของไข้ แต่คลินิกก็บล็อกผมไปเลย
สิ่งสำคัญที่คนส่วนใหญ่ควรจะต้องเข้าใจ คือ การผ่าตัดซ่อมเนี่ย มันยากกว่าผ่าตัดครั้งแรกให้ดีๆ ไปเลย เพราะ Donor ที่ด้านหลังหนังศีรษะก็ไม่ดีแล้ว ทำให้จำนวนกราฟต์ผมที่จะนำมาผ่าตัดซ่อมนั้นมีปริมาณน้อยลง และทิศทางผมปลูกที่ผิด นอกจากดูไม่เป็นธรรมชาติแล้ว การที่จะแก้ก็ยากมากๆ ไม่ใช่ว่าแก้ด้วยการผ่าตัดครั้งเดียวได้ อาจต้องผ่าตัดหลายครั้ง มันก็จะออกทำนอง “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ครับ นึกสภาพว่าถ้ายอมจ่ายครั้งแรกในราคาที่อาจจะแพงหน่อย แต่ไม่ต้องผ่าตัดซ่อม กับต้องมาเสียค่าผ่าตัดซ่อมอีก 2-3 ครั้ง ผมว่าอย่างหลังอาจจะแพงกว่าอย่างแรก แถมมาพร้อมกับการเสียสุขภาพจิตอีก
ผมอยากจะเตือนว่าอย่าไปหลงเชื่อภาพก่อนหลังที่ใช้โฆษณามากเกินไปครับ และลองถามคลินิกดูด้วยว่าเขาใช้กล้องจุลทรรศน์เช็คกราฟต์รึเปล่า
สุดท้ายนี้ผมอยากจะขอบคุณสมาคมแพทย์ปลูกผมนานาชาติ (ISHRS) ที่ได้ให้ความหวังกับผมอีกครั้ง ขอบคุณ Dr. Marie Schambach, Dr. Vincenzo Gambino, Dr. Ruban Nathan และ Dr. Augusto Guerreiro ที่ได้ให้ผมเข้าโครงการผ่าตัดปลูกผมซ่อมแซม Fight the Fight Hair Transplant Repair Day
สุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคนหาข้อมูลและเลือกคลินิกดีๆ ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัดปลูกผม การเลือกคุณหมอที่จะทำการผ่าตัดควรเป็นคุณหมอที่มีจริยธรรมและมีประสบการณ์ด้านการผ่าตัดปลูกผมจริงๆ จะได้ไม่ต้องมาเสียเงิน เสียเวลา และเสียใจแบบผมครับ”
แปลโดย พญ. วิภาวัน วัธนะนัย